Crime Science Weekly | EP.3

กรกฎาคม 26, 2025

นาโนโดรน สมาชิกคนใหม่ของทีมพิสูจน์หลักฐาน

ลองจินตนาการถึงเหตุอาชญากรรมในโกดังร้างแห่งหนึ่ง ภายในอาคารหลังเก่าที่มีพื้นที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยเศษซากเครื่องจักร ฝุ่นผง
และแสงสลัวจากช่องหน้าต่างแตกร้าว เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานต้องค้นหาพยานหลักฐานอย่างระมัดระวัง เพราะร่องรอยพยานหลักฐานสำคัญอาจถูกปนเปื้อน หรือถูกทำลายหายไปในพริบตา นอกจากนี้ หากพื้นที่นั้นมีสารเคมีตกค้าง โครงสร้างอาคารไม่แข็งแรง หรือมีความเสี่ยง
ที่ยังประเมินไม่ได้หลงเหลืออยู่ เจ้าหน้าที่ก็อาจต้องเผชิญกับอันตรายโดยไม่รู้ตัว

แต่จะเป็นอย่างไร หากมี “ดวงตาอัจฉริยะ” ขนาดจิ๋ว ที่บินเข้าไปสำรวจแทนเราได้ก่อน?
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรม การประยุกต์ใช้ “นาโนโดรน” (Nano Drone) หรืออากาศยานไร้คนขับขนาดจิ๋วในงานนิติวิทยาศาสตร์ (Forensic Science) กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุภายในอาคาร เช่น คอนโด ห้องพัก หรือโกดัง ซึ่งมักมีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งเรื่องพื้นที่จำกัด การเข้าถึงยาก และความเสี่ยงต่อการทำลายหลักฐาน
ที่เปราะบาง ด้วยเหตุนี้ นาโนโดรนจึงกลายเป็น “ดวงตาอัจฉริยะ” ที่บินเข้าไปแทนเจ้าหน้าที่ เพื่อบันทึกภาพ เก็บข้อมูล และวิเคราะห์
สภาพแวดล้อมได้อย่างละเอียดโดยไม่กระทบพยานหลักฐานเดิม ลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และยกระดับกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างมีนัยสำคัญ

ลักษณะของนาโนโดรน (Nano Drone)
นาโนโดรน (Nano Drone) หมายถึง อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ที่มีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไปมีน้ำหนักน้อยกว่า 250 กรัม และมักมีขนาดไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลักษณะเด่นของนาโนโดรนคือความสามารถในการบินในพื้นที่แคบหรือซับซ้อน เช่น ภายในห้องพัก ทางเดินแคบ หรือช่องทางเล็ก ๆ ระหว่างเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ โดรนลักษณะนี้มักถูกออกแบบให้มีความคล่องตัวสูง สามารถบินเลี้ยว บินนิ่ง หรือเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่

ในด้านเทคโนโลยี นาโนโดรนสมัยใหม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสูงหลายประเภท เช่น
กล้องความละเอียดสูง สำหรับบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอจากมุมที่สายตามนุษย์เข้าถึงได้ยาก
ระบบอินฟราเรด (Infrared) หรือ LiDAR สำหรับตรวจจับวัตถุในพื้นที่มืดหรือมีควัน
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการมองเห็นของคอมพิวเตอร์ (Computer Vision) เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ภาพ
และตัดสินใจแบบเรียลไทม์
ระบบ SLAM (Simultaneous Localization and Mapping) สำหรับสร้างแผนที่ภายในอาคารและนำทางแบบอัตโนมัติ

ด้วยคุณลักษณะดังกล่าว นาโนโดรนจึงมีบทบาทสำคัญในภารกิจที่ต้องการความแม่นยำและปลอดภัยสูง เช่น
การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ การสำรวจพื้นที่เสี่ยง หรือแม้กระทั่งการสอดแนมในสถานการณ์เฉพาะหน้า โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เสี่ยง
เข้าไปในพื้นที่โดยตรง ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการนิติวิทยาศาสตร์ ความมั่นคง และกู้ภัย

ที่มา: https://spectrum.ieee.org/drones-as-detectives-surveying-crime-scenes-for-evidence?utm_source=chatgpt.com

จุดเริ่มต้นนาโนโดรน
แนวคิดใช้โดรนช่วยเก็บพยานหลักฐาน ริเริ่มในช่วงปี 2019 โดย Pompílio Araújo นักนิติวิทยาศาสตร์จากสำนักงานตำรวจกลางของบราซิล (Federal Police of Brazil) และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Federal University of Bahia ได้ริเริ่มโครงการพัฒนา “ระบบโดรนอัตโนมัติ
สำหรับสำรวจที่เกิดเหตุ” ภายใต้ชื่อว่า AirCSI แนวคิดสำคัญของโครงการนี้คือการลดการสัมผัสของมนุษย์ต่อหลักฐานที่เปราะบาง
ในที่เกิดเหตุ และใช้โดรนเข้ามาช่วย “สำรวจ บันทึก และวิเคราะห์” พื้นที่อาชญากรรมอย่างแม่นยำ โดยอาศัยเทคโนโลยีด้านภาพ
และ AI เป็นแกนหลัก

ระบบ AirCSI นี้ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดหลายอย่างผสานกัน ขั้นแรก โดรนจะบินสำรวจที่เกิดเหตุจากมุมสูงด้วยกล้องสเตอริโอ
และระบบ SLAM (Simultaneous Localization and Mapping) ที่ทีมพัฒนาต่อยอดเป็น “Air-SSLAM” เพื่อให้โดรนเข้าใจพื้นที่อย่างแม่นยำ และวางแผนผังพื้นที่ได้เอง จากนั้น กล้องด้านล่างของโดรนจะทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุสำคัญ โดยใช้โมเดล AI ประเภท YOLO v3 ที่ถูกฝึกให้รู้
จำวัตถุต้องสงสัย เช่น ปืน หรืออาวุธต่าง ๆ ซึ่งในอนาคตสามารถขยายให้ตรวจพบคราบเลือด เส้นใย หรือปลอกกระสุนได้เช่นกัน เมื่อเจอวัตถุ
เป้าหมาย โดรนจะไม่หยุดแค่ถ่ายภาพเฉย ๆ แต่จะคำนวณเส้นทางบินแบบวนรอบเป็นวงกลม และใช้แนวบินซิกแซกเพื่อเก็บภาพจากหลายมุม หลายระยะ ซึ่งจากผลการทดลองพบว่า การเก็บภาพหลายมุมสามารถเพิ่มความแม่นยำในการจำแนกวัตถุได้ถึง 18%
เมื่อเทียบกับการถ่ายจากมุมเดียว

ผลลัพธ์จากการทดสอบในซอฟต์แวร์จำลอง แสดงให้เห็นว่า AirCSI สามารถสร้างแผนที่ 3 มิติของที่เกิดเหตุ บันทึกภาพหลักฐานได้ละเอียด
และจัดทำรายงานที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าใจภาพรวมของคดีได้ดียิ่งขึ้น แม้ยังมีข้อจำกัด เช่น ยังไม่สามารถบินหลบสิ่งกีดขวางได้แบบเรียลไทม์
และยังใช้ได้ดีเฉพาะในพื้นที่เปิดโล่งที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แน่นหนา แต่ AirCSI ก็ถือเป็น “ก้าวแรกที่สำคัญ” ของการนำหุ่นยนต์
และ AI เข้าสู่แวดวงนิติวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ

สำหรับแผนในอนาคต ทีมวิจัยเตรียมพัฒนาระบบให้เก่งยิ่งขึ้น เช่น ฝึกโมเดล AI ให้ตรวจจับวัตถุได้หลากหลายขึ้น ทดลองใช้ภาคสนามจริง
และสร้างระบบ “จำลองฉากที่เกิดเหตุเสมือนจริง” (Virtual Reconstruction) เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปสำรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง
ในโลกดิจิทัล ย้อนกลับไปดูทุกมุม ทุกจุด ได้อย่างอิสระ โดยไม่จำกัดด้วยเวลา

ที่มา: https://arxiv.org/abs/2502.21019

ในปี 2025 ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาล์มสตัด (Halmstad University) ประเทศสวีเดน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงนิติวิทยาศาสตร์
ยุคใหม่ด้วยการนำเสนอแนวคิดและต้นแบบของการใช้ “นาโนโดรน” สำหรับปฏิบัติภารกิจภายในสถานที่เกิดเหตุแบบปิดล้อมภายในอาคาร
งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลสำคัญ
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เข้าถึงได้ยาก หรือมีข้อจำกัดทางกายภาพและความปลอดภัย

ทีมวิจัยได้ใช้วิธีการที่เรียกว่า “speculative prototyping” คือการออกแบบและทดลองระบบต้นแบบเพื่อจำลองสถานการณ์ที่เป็นไปได้
ในอนาคต โดยได้สร้างต้นแบบนาโนโดรนขนาดเล็กมาก น้ำหนักไม่เกิน 250 กรัม ติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับ วิเคราะห์
และเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่จำกัด
ภารกิจหลักของโดรนต้นแบบในการทดลองครั้งนี้มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. การบินเข้าสู่พื้นที่เกิดเหตุผ่านช่องทางแคบ เช่น หน้าต่างที่เปิดเพียงบางส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนาโนโดรน
ในการเข้าถึงพื้นที่ที่ไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปได้โดยตรง
2. การสร้างแผนที่ภายในอาคารและระบุตำแหน่งของหลักฐาน ด้วยการใช้เทคโนโลยี SLAM (Simultaneous Localization and Mapping) ทำให้สามารถจำลองผังภายในของสถานที่เกิดเหตุ พร้อมปักหมุดตำแหน่งของชิ้นส่วนหลักฐานได้อย่างแม่นยำ
3. การตรวจจับและวิเคราะห์ทิศทางของรอยเลือดแบบ “ลาก” หรือ blood smear ซึ่งเป็นหนึ่งในร่องรอยสำคัญที่ใช้
ประกอบการจำลองเหตุการณ์และการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุหรือเหยื่อ

แม้ว่าอัตราความสำเร็จในเบื้องต้นของภารกิจทั้งสามจะอยู่ที่ 75%, 85% และ 80% ตามลำดับ แต่ก็ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้จริงของการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์ขนาดเล็กในบริบทของงานสอบสวนและนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดิมอาศัย
แรงงานมนุษย์เป็นหลัก และมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ความเสี่ยง และการปนเปื้อนของหลักฐาน นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังเปิดมุมมองใหม่ให้กับ
การใช้ “ระบบอัตโนมัติ” ในการปฏิบัติงานนิติวิทยาศาสตร์ โดยไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของทีมสืบสวนให้
ทำงานได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจแข่งกับเวลา หรือมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น
กรณีมีสารพิษตกค้างในพื้นที่ หรืออาคารที่มีโครงสร้างไม่มั่นคง

การวิจัยนี้จึงนับว่าเป็นก้าวแรกของการผลักดัน “นาโนโดรน” ให้กลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานในห้องปฏิบัติการภาคสนามของทีมพิสูจน์หลักฐาน
ในอนาคต ซึ่งหากได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การสร้างระบบฝูงโดรน (Swarm Drones) หรือระบบวิเคราะห์อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ที่สามารถส่งข้อมูลกลับมายังผู้ควบคุมได้ทันทีภายในไม่กี่นาที

แนวโน้มการนำโดรนมาใช้ในงานพิสูจน์หลักฐานไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หากแต่กำลังกลายเป็นกระแสระดับโลก โดยเฉพาะในเวทีประชุมวิชาการด้าน Forensic Technology และ Robotics ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น งาน IEEE International Symposium on Safety, Security, and Rescue Robotics (SSRR) และ Forensic Europe Expo ที่กรุงลอนดอน ซึ่งล้วนมีหัวข้อเกี่ยวกับการใช้โดรน, หุ่นยนต์ขนาดเล็ก
และระบบอัตโนมัติในการสนับสนุนการเก็บหลักฐาน ณ ที่เกิดเหตุ ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียง “ของเล่นในแล็บ” แต่กำลังก้าวสู่
การเป็นหนึ่งในมาตรฐานใหม่ของการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาทั่วโลก

ความท้าทายและข้อจำกัดของนาโนโดรนในงานนิติวิทยาศาสตร์
แม้นาโนโดรนจะมีศักยภาพในการยกระดับกระบวนการพิสูจน์หลักฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่จำกัดหรือสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง
แต่การนำมาใช้ในงานจริงยังคงมีข้อจำกัดหลายประการที่ต้องพิจารณาและพัฒนาอย่างรอบด้าน

1. ระยะเวลาการบินจำกัด
นาโนโดรนมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ทำให้มีข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัว แต่ก็ต้องแลกกับข้อจำกัดด้านพลังงาน ซึ่งแบตเตอรี่โดยทั่วไปสามารถใช้งานได้เพียง 10–15 นาทีต่อรอบการบิน ส่งผลให้การวางแผนเส้นทาง การเก็บภาพหลักฐาน และจุดพักชาร์จต้องคำนวณอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

2. ปัญหาสัญญาณภายในอาคาร
สภาพแวดล้อมภายในอาคาร โดยเฉพาะผนังปูน โครงสร้างเหล็ก หรือสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อาจส่งผลต่อการควบคุมและการสื่อสารของโดรนกับฐานควบคุม ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งข้อมูลภาพหรือการประมวลผลแบบเรียลไทม์

3. ความละเอียดของกล้อง
แม้กล้องที่ติดมากับนาโนโดรนจะมีความละเอียดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเทียบเท่าอุปกรณ์ถ่ายภาพเฉพาะทาง
เช่น กล้อง DSLR หรือกล้องสเปกตรัมพิเศษที่ใช้ในงานนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านการซูมภาพ ความไวต่อแสงน้อย
และการเก็บรายละเอียดร่องรอยขนาดเล็ก

4. ประเด็นทางกฎหมายและความเป็นส่วนตัว
การใช้งานโดรนในพื้นที่ส่วนบุคคล เช่น ที่พักอาศัยหรือทรัพย์สินส่วนตัว อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย การนำโดรนเข้าสำรวจจำเป็นต้องได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย อาทิ คำสั่งศาล หรือความยินยอมของเจ้าของพื้นที่ รวมถึงต้องคำนึงถึงกฎหมายด้านคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและหลักนิติธรรม

สำหรับประเทศไทย ในปัจจุบันยังไม่ได้มีการใช้นาโนโดรนในงานนิติวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น หากมีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติร่วมระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชั้นนำ ก็อาจทำให้
เราได้เห็น "นาโนโดรนฝีมือคนไทย" เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในอนาคตอันใกล้นี้ การลงทุนด้านนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่
แต่ยังช่วยลดการปนเปื้อนของพยานหลักฐาน และเพิ่มความแม่นยำในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางคดีได้

อ้างอิง
Cooney, M., Ponrajan, S., & Alonso-Fernandez, F. (2025). Nano Drone-based Indoor Crime Scene Analysis. https://arxiv.org/abs/2502.21019
Michelle Hampson. (2019). Drones as Detectives: Surveying Crime Scenes for Evidence. IEEE Spectrum. https://spectrum.ieee.org/drones-as-detectives-surveying-crime-scenes-for-evidence?utm_source=chatgpt.com