จาก Blue Light Pole สู่ Smart Safety Zone: เมืองรู้ตัว และ สังคมปลอดภัย

ในยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ หากคุณเคยเดินผ่านเสาไฟอัจฉริยะที่มีกล้องหมุนตาม หรือได้ยินเสียงประกาศจากเสาไฟกลางถนนในยามค่ำคืน
คุณอาจรู้สึกเหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อ “เฝ้าดู” หากแต่เพื่อ “เฝ้าปกป้อง”
นี่คือแนวคิดเบื้องหลังของโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังผลักดันให้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ พัทยา นครราชสีมา และอีกหลายจังหวัดนำร่อง เป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้างเมืองรู้ตัว (Smart-Aware City) ที่สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนองต่อความผิดปกติได้แบบเรียลไทม์
จากการไล่จับ สู่การแก้ที่ต้นเหตุ
Smart Safety Zone 4.0 เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้แนวคิด Problem-Oriented Policing (POP) ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของ Crime Science ที่เปลี่ยนบทบาทของตำรวจจาก “ผู้ดับไฟ” มาเป็น “นักแก้ปัญหา”
โดย Herman Goldstein นักอาชญาวิทยาผู้พัฒนาแนวคิดนี้ เสนอให้ตำรวจเข้าใจต้นเหตุของอาชญากรรม
ด้วยคำถามใหม่ว่า “ทำไมพื้นที่นี้ถึงเกิดเหตุซ้ำ?” ไม่ใช่แค่ “จะจับคนร้ายได้อย่างไร?”
Goldstein มองว่า การทำงานของตำรวจในยุคก่อนมักมุ่งไปที่การตอบสนองหลังเหตุเกิด เช่น รับแจ้งเหตุ ไปที่เกิดเหตุ จับกุมผู้กระทำผิด ซึ่งแม้จะช่วยคลี่คลายคดีได้ในระยะสั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สาเหตุของอาชญากรรมหมดไป เพราะเมื่อเงื่อนไขเดิมยังคงอยู่ เหตุการณ์แบบเดิมก็จะเกิดซ้ำอีก ดังนั้น แนวคิดการป้องกันอาชญากรรมโดยมุ่งแก้ปัญหาเป็นหลัก จึงเสนอให้ตำรวจเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดับไฟมาเป็นนักแก้ปัญหา (problem solver) ซึ่งหมายถึงการเข้าใจว่าเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงเกิด และจะออกแบบอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก
ในทางปฏิบัติ ตำรวจที่ทำงานตามแนวทางนี้จะเริ่มต้นด้วยการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่และพฤติกรรมของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น เช่น
- รถหายช่วงเวลาไหน?
- มักเกิดในตอนกลางคืนหรือช่วงเลิกงาน?
- บริเวณใดเสี่ยงที่สุด?
- จุดจอดรถที่มืด ไม่มีคนพลุกพล่าน หรือกล้องเสียบ่อย?
- เหยื่อส่วนใหญ่เป็นใคร?
- คนในพื้นที่ หรือคนที่เพิ่งมาเยือนและไม่รู้ว่าจุดนั้นอันตราย?
เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมและวิเคราะห์ ตำรวจก็จะเห็นรูปแบบ (pattern) ของอาชญากรรมชัดเจนขึ้น และนำไปสู่การวางแผนเชิงรุก เช่น การเพิ่มไฟส่องสว่างในจุดอับสายตา การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์สั่งการ การปรับผังจราจรหรือตำแหน่งที่จอดรถใหม่ให้ปลอดภัยมากขึ้น การรณรงค์ให้ประชาชนรับรู้และมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังพื้นที่
นี่คือการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อความปลอดภัย (Crime Prevention Through Environmental Design: CPTED) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง Problem-Oriented Policing (POP) การใช้การออกแบบทางกายภาพมาสร้างผลทางพฤติกรรม เช่น การเพิ่มแสงไฟทำให้ผู้ร้ายรู้สึกว่าถูกจับตามอง หรือการใช้กล้องและเสียงเตือนอัตโนมัติทำให้การก่อเหตุเสี่ยงเกินกว่าจะลอง
สามเหลี่ยมอาชญากรรม: เมื่อ 3 ปัจจัยมาบรรจบกัน อาชญากรรมจึงเกิด
อีกหนึ่งหลักคิดที่ถูกประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและเงื่อนไขของการเกิดอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ ได้แก่ สามเหลี่ยมอาชญากรรม (Crime Triangle)
โดย John Eck อธิบายว่า การที่อาชญากรรมจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงเพราะมี “ผู้ร้าย” หรือ “เหยื่อ” เท่านั้น แต่ต้องมีองค์ประกอบ 3 ด้านที่มาบรรจบกัน จึงจะเกิดเหตุขึ้นได้ ได้แก่
- ผู้กระทำผิด (Offender) คือบุคคลที่มีแรงจูงใจหรือความตั้งใจที่จะก่ออาชญากรรม เช่น ต้องการผลประโยชน์ ต้องการแก้แค้น หรือได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมผิดกฎหมาย
- เหยื่อหรือเป้าหมาย (Victim/Target) หมายถึงบุคคลหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นเป้าหมายของการกระทำผิด เช่น ผู้หญิงที่เดินคนเดียวตอนกลางคืน รถยนต์ที่จอดในที่เปลี่ยว หรือร้านค้าที่ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย
- โอกาส (Opportunity) คือช่องทางหรือเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดอาชญากรรม เช่น พื้นที่มืด ไม่มีคนพลุกพล่าน กล้องวงจรปิดเสีย หรือการละเลยมาตรการรักษาความปลอดภัย
เมื่อองค์ประกอบทั้งสามด้านนี้มาพบกันในเวลาเดียวกัน ผู้กระทำมีแรงจูงใจ, เหยื่ออยู่ในสภาพเสี่ยง, และมีโอกาสเหมาะสม อาชญากรรมก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น แต่หากตัดหรือทำลายองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งออกไป สมการของสามเหลี่ยมนี้ก็จะพังลง และอาชญากรรมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น
- หากผู้กระทำ ไม่มีแรงจูงใจหรือแรงผลักดัน เช่น ได้รับการศึกษา มีงานทำ มีระบบสังคมช่วยเหลือ โอกาสในการก่อเหตุจะลดลง
- หากเหยื่อ มีมาตรการป้องกันตนเอง เช่น ติดตั้งสัญญาณกันขโมย ใช้แอปพลิเคชันแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือเรียนรู้เทคนิคการเอาตัวรอด ผู้กระทำจะลังเลและไม่กล้าเข้าหา
- หากพื้นที่ ได้รับการออกแบบให้ปลอดภัย เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ มีกล้องวงจรปิดที่ทำงานได้จริง มีตำรวจและประชาชนร่วมตรวจตรา หรือมีพื้นที่สาธารณะที่เอื้อต่อการมองเห็น โอกาสในการก่อเหตุจะน้อยลง
ดังนั้น แนวคิดสามเหลี่ยมอาชญากรรม ไม่ได้มองการแก้ปัญหาอาชญากรรมแบบเฉพาะจุด แต่เน้นให้ทุกภาคส่วนร่วมกันลดโอกาส และปรับสภาพแวดล้อม เพื่อให้การก่อเหตุทำได้ยากขึ้นหรือไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
ในบริบทของ โครงการ Smart Safety Zone แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ผ่านการออกแบบเชิงพื้นที่ (environmental design) และเทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (AI CCTV), จุดตรวจอัตโนมัติ, แอปพลิเคชันแจ้งเหตุแบบเรียลไทม์ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังภัย เพื่อตัดองค์ประกอบของสามเหลี่ยมอาชญากรรม และเปลี่ยนมุมมองจาก “จับให้ได้มากที่สุด” เป็น “ออกแบบสังคมให้ปลอดภัยที่สุด”

จาก Blue Light Pole สู่ Smart Safety Zone
ในอดีต มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกานำร่องแนวคิด Blue Light Pole เสาไฟสีฟ้าที่มีปุ่มกดขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งเชื่อมต่อกับศูนย์รักษาความปลอดภัยภายในมหาวิทยาลัย เสาไฟเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาการตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ แต่ยังทำให้ผู้ไม่หวังดีรู้ตัวว่าพื้นที่นั้นมีการเฝ้าระวังอยู่เสมอ
สิ่งนี้คือรากฐานของแนวคิดการป้องกันอาชญากรรมเชิงสถานการณ์ (Situational Crime Prevention) ที่เน้นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้การก่อเหตุ “ยากขึ้น” และการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ “ปลอดภัยขึ้น”

ประเทศไทยนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในระดับเมือง ผ่าน Smart Safety Zone 4.0 โดยบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับศาสตร์ของ Crime Science เช่น
- เสา Smart Pole ติดตั้งกล้อง AI วิเคราะห์ภาพและเสียง เช่น การทะเลาะ การขอความช่วยเหลือ หรือเสียงกระจกแตก
- ระบบแจ้งเหตุอัตโนมัติ (Automated Alert) แจ้งเตือนไปยังศูนย์สั่งการตำรวจในทันทีเมื่อพบความผิดปกติ
- ลำโพงฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่สามารถประกาศเตือนหรือสื่อสารกับประชาชนในจุดเกิดเหตุได้แบบเรียลไทม์
- ฐานข้อมูลอัจฉริยะ วิเคราะห์รูปแบบเหตุการณ์ซ้ำซ้อน และพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อนำไปคาดการณ์และป้องกันล่วงหน้า
เมืองที่รู้ตัว คือเมืองที่ปลอดภัย
แนวคิดของเมืองที่รู้ตัวเป็นหัวใจของโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ที่มุ่งเน้นให้เมืองสามารถ รับรู้และตอบสนอง ต่อเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยอาศัยการผสมผสานระหว่างข้อมูล เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของประชาชน ผลการประเมินจากพื้นที่นำร่องในหลายจังหวัดของประเทศไทย เช่น ลุมพินี, ห้วยขวาง, เมืองพัทยา, เมืองเชียงใหม่, เมืองภูเก็ต พบว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงโดยเฉลี่ยถึง 20–30% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนแรก หลังจากมีการติดตั้งระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลขทางสถิติคือ ความรู้สึกปลอดภัยของประชาชน ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ชาวบ้านในพื้นที่ทดลองรู้สึกว่า มีคนเฝ้ามองอย่างห่วงใย ไม่ใช่เพื่อจับผิดหรือเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด แต่เพื่อให้สามารถตอบสนอง และ ปกป้อง ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ความไว้วางใจระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่บนพื้นฐานของข้อมูล ความโปร่งใส และการสื่อสารที่เป็นมิตร
จาก Crime Control สู่ Crime Science Thinking
เมื่อมองเมืองผ่านเลนส์ของ Crime Science จะเห็นได้ว่าความปลอดภัยของเมืองไม่ได้เกิดจากโชค หรือการเพิ่มโทษทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์ของ การออกแบบอย่างมีข้อมูลและหลักฐาน ใช้เทคโนโลยีและการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ร่วมกันในการลดโอกาสก่อเหตุ เช่น การติดตั้งทางเดินที่มีแสงสว่างเพียงพอ ซึ่งช่วยลดช่องทางในการก่อเหตุ การใช้เสาไฟอัจฉริยะที่มีกล้องและปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเพิ่มสายตาของสังคม ให้ครอบคลุมทุกมุมมอง รวมถึงการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) เพื่อให้เมืองสามารถรู้ตัวได้ล่วงหน้าว่าพื้นที่ใดมีความเสี่ยงสูง และจัดสรรกำลังเจ้าหน้าที่ไปในจุดที่จำเป็นจริง ๆ

ที่มา : Facebook Smart Safety Zone
ในปัจจุบัน โครงการ Smart Safety Zone 4.0 ได้ขยายผลไปแล้วกว่า 200 พื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีทั้งในเขตเมืองและต่างจังหวัด แต่ละพื้นที่จะพัฒนารูปแบบ Smart Safety Zone ที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เช่น พื้นที่ตลาดชุมชนจะใช้เครือข่ายกล้องจากร้านค้าและชุมชนเป็นหลัก พื้นที่ท่องเที่ยวจะเน้นระบบเตือนภัยและจุดรวมพลฉุกเฉิน ส่วนย่านที่อยู่อาศัยจะพัฒนาระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของประชาชน เพื่อให้สามารถแจ้งเหตุ ติดตามข้อมูล และติดต่อกับศูนย์ปฏิบัติการได้แบบเรียลไทม์
ในระยะถัดไป เป้าหมายของ Smart Safety Zone คือการขยายผลจากพื้นที่นำร่องออกไปให้ครอบคลุมทั้งเมืองเพื่อสร้างระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกันได้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เมืองที่มีข้อมูลแบบเรียลไทม์และสามารถประมวลผลความเสี่ยงได้อย่างต่อเนื่อง จะไม่เพียงเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่ยังเป็นเมืองที่รู้ตัว เมืองที่เข้าใจพฤติกรรมของผู้คน เห็นสัญญาณความเสี่ยงก่อนใคร และตอบสนองได้ทันเวลา
จาก Blue Light Pole สู่ Smart Safety Zone คือการเดินทางของแนวคิดที่เริ่มจากเสาไฟช่วยชีวิต สู่ เมืองที่ทั้งเมืองร่วมกันป้องกันอาชญากรรม และคือทิศทางที่ ศูนย์วิทยาการอาชญากรรม (Center for Crime Science) กำลังขับเคลื่อนผ่านงานวิจัย การฝึกอบรม และการออกแบบนโยบายเชิงหลักฐาน
ด้วยพลังของความรู้และความร่วมมือ จะทำให้เราเข้าใกล้สังคมที่ “การก่อเหตุเป็นเรื่องยาก และการอยู่อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องธรรมดา” ในที่สุด
อ้างอิง
- มติชนสุดสัปดาห์. (2022).สมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 ชุมชนปลอดภัย-เมืองอัจฉริยะ สะท้อนบิ๊กปั๊ด ผบ.ตร.ไฮเทค/โล่เงิน. https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_547812
- หอสมุดรัฐสภา (n.d.). โครงการ Smart Safety Zone 4.0. https://library.parliament.go.th/th/radioscript-rr2565-jan1
- Cohen, L., & Felson, M. (1979). Social Change and Crime Rate Trends: A Routine Activity Approach. American Sociological Review, 44(4), 588–608.
- Clarke, R. V. (1997). Situational Crime Prevention: Successful Case Studies. Harrow and Heston.
- Eck, J. (2003). Police Problems: The Problem-Oriented Guide to Crime Triangle.







