ในเวที อว. Fair 2025 มีการเสวนาในหัวข้อ “วิทยาการอาชญากรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการอาชญากรรม” โดยมี คุณหนึ่งฤทัย สิงห์ทอง ผู้จัดการสำนักข่าว Police TV ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ ร่วมพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ พ.ต.ท.ดร.พีระพัฒน์ มังคละศิริ รองผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการอาชญากรรม โรงเรียนนายร้อยตำรวจ, คุณปกรณ์ ทองจีน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Security Pitch จำกัด และ พ.ต.อ.ดร.สุรชัย สุกใส รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม


เขาอธิบายว่า ความแตกต่างของ Crime Science อยู่ที่การเน้น “การแก้ปัญหา” มากกว่าการอธิบายสาเหตุ โดยนำความรู้สหวิทยาการและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อหาทางออกที่เป็นรูปธรรม สำหรับประเทศไทย การจัดตั้งศูนย์วิทยาการอาชญากรรมในลักษณะศูนย์กลางความรู้ (Hub of Knowledge) จึงเป็นการนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในบริบทไทย เพื่อสร้างฐานองค์ความรู้และเครือข่ายความร่วมมือระดับสากล จากฐานคิดดังกล่าว พ.ต.ท.ดร.พีระพัฒน์ จึงเชื่อมโยงไปสู่แนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Cyborg Concept” ซึ่งคือการผสานศักยภาพของมนุษย์กับเทคโนโลยีดิจิทัลและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อทำให้การทำงานของตำรวจแม่นยำ โปร่งใส และตอบสนองต่ออาชญากรรมยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถัดมา คุณปกรณ์ ทองจีน ซีอีโอของ Security Pitch ได้อธิบายถึงบทบาทภาคเอกชนในการพัฒนา AI Police Cyborg 1.0 ว่าเป็นแพลตฟอร์มต้นแบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ตำรวจเผชิญจริง (real policing problems) มากกว่าการเป็นเพียงโครงการเชิงสัญลักษณ์ คุณปกรณ์อธิบายว่า ระบบ AI Police Cyborg 1.0 ได้รับการพัฒนาให้เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น หมายจับ ข้อมูลการสืบสวน และฐานข้อมูลกลางของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกรวมเข้ากับ Big Data และ AI จะช่วยให้สามารถตรวจสอบความเชื่อมโยงของคดีที่ซับซ้อน ระบุผู้ต้องสงสัย และคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงได้แบบเรียลไทม์ เขาย้ำว่า หัวใจของการออกแบบ Cyborg อยู่ที่ แนวคิด Evidence-Based Policing ที่ยึดหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่พึ่งสัญชาตญาณหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว โดยเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า Crime Science มีบทบาทเหมือน Evidence-Based Medicine ในวงการแพทย์ ที่ตั้งอยู่บนฐานวิทยาศาสตร์และข้อมูลที่พิสูจน์ได้ จุดประสงค์สูงสุดคือ “ป้องกันและลดอาชญากรรม” อย่างเป็นระบบ
คุณปกรณ์ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ก้าวต่อไปของ AI Police Cyborg คือการสร้างระบบที่สามารถเรียนรู้ได้เอง (self-learning) จากข้อมูลที่สะสมอย่างต่อเนื่อง ระบบลักษณะนี้จะทำให้ตำรวจไม่เพียงตรวจสอบข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังสามารถวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และเสนอแนวทางการปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่ได้ทันที ทำให้เกิดการตัดสินใจที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาเน้นย้ำว่า หากจะให้เทคโนโลยีเกิดประโยชน์จริง ต้องออกแบบให้ ใช้งานง่าย (user-friendly) เจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกระดับสามารถเข้าถึงและใช้ได้ในชีวิตการทำงานประจำวัน เพราะไม่ว่าระบบจะก้าวหน้าขนาดไหน หากตำรวจไม่สามารถใช้จริงในหน้างาน ก็ไม่ต่างอะไรกับการเก็บเทคโนโลยีไว้ในห้องทดลอง

พ.ต.อ.ดร.สุรชัย สุกใส ปิดท้ายการเสวนาด้วยการเล่าประสบการณ์จากการทดลองใช้ AI Police Cyborg 1.0 ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะงานสายตรวจและสืบสวนในจังหวัดนครปฐม เขาอธิบายว่า การใช้ Police Cyborg ทำให้ตำรวจสามารถวางกำลังสายตรวจตามจุดเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น วิเคราะห์เครือข่ายผู้ต้องสงสัยได้รวดเร็วขึ้น และติดตามคดีที่ซับซ้อนซึ่งปกติต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่สามารถย่นเวลาเหลือเพียงไม่กี่วัน ระบบนี้จึงกลายเป็น “เครื่องมือช่วยตัดสินใจ” ที่เพิ่มขีดความสามารถของตำรวจท้องที่ได้จริง อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ดร.สุรชัย เน้นว่า “เทคโนโลยีไม่ใช่ยาวิเศษ” หากขาดการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ (capacity building) หรือการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา เทคโนโลยีก็จะไม่ถูกใช้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปด้วย เขาสรุปว่า บทเรียนจากการทดลองครั้งนี้พิสูจน์ว่า Cyborg Concept ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี แต่สามารถนำไปใช้จริงในพื้นที่ และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะต่อยอดไปสู่การพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับอาชญากรรมในอนาคต
การเสวนา “วิทยาการอาชญากรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการอาชญากรรม” แสดงให้เห็นภาพการ "บูรณาการครบวงจร" ตั้งแต่การวางรากฐานเชิงวิชาการ การพัฒนาเทคโนโลยี AI Cyborg และการย้ำหลักการ Evidence-Based Policing เพื่อป้องกันและลดอาชญากรรม ไปจนถึงการทดสอบใช้จริงในพื้นที่ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอนาคตของตำรวจไทยต้องเดินไปบนเส้นทางที่ผสาน มนุษย์ เทคโนโลยี และหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อรับมือกับอาชญากรรมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21







